รองผู้ว่าฯเชียงใหม่ ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปยอดผู้สมัครเข้าร่วมโครงการแสงนำใจไทยทั้งชาติ เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาตครั้งที่ 11 รวมทั้งสิ้น 2,640 คน พร้อมจัดกิจกรรมในวันที่ 2 พฤศจิกายน นี้
วันนี้ (30 ก.ย. 68) ที่ห้องประชุม 4 ชั้น 4 อาคารอำนวยการ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ นายศิวะ ธมิกานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามที่ได้มอบหมายภารกิจในโครงการแสงน้ำใจไทยทั้งชาติ เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาตครั้งที่ 11 เฉลิมพระเกียรติ จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 4/2568 โดยกิจกรรมจะจัดขึ้นในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่
หลังจากปิดการรับสมัครไปเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา จังหวัดเชียงใหม่มียอดผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 2,640 คน ซึ่งหลังจากนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่จะมีการจัดกิจกรรมให้ความรู้โรคหลอดเลือดสมอง อาทิ สาเหตุ อาการ การป้องกัน การฟื้นฟู รวมถึงแนวทางการรักษาและปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ในวันที่ 27 – 30 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลเชียงใหม่
สำหรับกิจกรรมการเดิน วิ่ง ปั่น จะแบ่งประเภทการวิ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะทาง 5 กิโลเมตร และระยะทาง 10 กิโลเมตร โดยจะเริ่มปล่อยตัวตั้งแต่บริเวณด้านหน้าศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ วิ่งไปตามเส้นทางผ่านศูนย์สินค้าเกษตรภาคเหนือจังหวัดเชียงใหม่ สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี โรงเรียนนวมินทราชูทิชพายัพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ห้วยตึงเฒ่า และวนกลับมายังจุดปล่อยตัว


เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 แอร์เอเชียสานต่อเมนูผลไม้ ช่วยเกษตรกรไทย นำ “สัปปะรดภูเเล” ชูเป็นวัตถุดิบสร้างสรรค์เมนูอาหารเหนืออร่อยล้ำ ฉลองฤดูกาลท่องเที่ยว ไตรมาสสุดท้าย(ตุลาคม-ธันวาคม) ส่งท้ายปี นำโดยเมนูเหนือขนานเเท้ ชุดขันโตกเมือง (พร้อมผักสดเเละน้ำพริกหนุ่ม) ข้าวซอยไก่สัปปะรดภูเเล สัปปะรดภูเเลชีสเค้ก และน้ำสัปปะรดพริกเกลือ อร่อยไม่ซ้ำใคร ลำเเต้เฉพาะบนเที่ยวบินของไทยแอร์เอเชีย(เที่ยวบินรหัส FD) และไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์(เที่ยวบินรหัส XJ) เท่านั้น
นางสาวอรอนงค์ เมธาพิพัฒนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายสินค้าและบริการบนเครื่องบิน สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า กล่าวว่า เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โครงการกระจายสินค้าเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยการนำผลไม้มาสร้างสรรค์เป็นเมนูจำหน่ายบนเครื่องบิน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรมการค้าภายในและสายการบินไทยแอร์เอเชีย ได้รับรางวัลความเป็นเลิศทางความคิดสร้างสรรค์ Creative Excellence Awards 2025 จากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์(องค์การมหาชน) ตอกย้ำความสำเร็จ โดยไตรมาสที่เเล้วเป็นเมนูจากลำไย ในไตรมาสนี้ เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2568 เราจึงสร้างสรรค์เมนูใหม่ โดยผสมผสานระหว่าง “สัปปะรดภูเเล” ผลไม้ขึ้นชื่อจากเชียงราย เข้ากับเมนูยอดนิยมต่างๆ ของทางภาคเหนือ เป็นเมนูลอยฟ้าไอเดียใหม่ๆ ที่อยากให้ทุกคนได้ลิ้มลอง
เมนูใหม่ประกอบไปด้วย “ชุดขันโตกเมือง” สำรับอาหารพื้นเมืองเหนือที่รวบรวมเมนูเด็ดเอาไว้ในถาดเดียว ไม่ว่าจะเป็นไส้อั่วไก่ ไก่ยอทอด น้ำพริกหนุ่ม เสิร์ฟคู่กับผักสด และข้าวเหนียว “ข้าวซอยไก่สับปะรดภูแล” ที่ผสมผสานเส้นบะหมี่กับน้ำแกงกะทิเข้มข้นหอมเครื่องแกงแบบเหนือ เสิร์ฟคู่กับไก่เนื้อนุ่ม พร้อมเครื่องเคียง ทั้งหอม มัน เผ็ดกำลังดี “ชีสเค้กสับปะรดภูแล” ความลงตัวของสับปะรดภูแลกับความเนียนนุ่มของชีสเค้ก ทำให้ได้รสชาติ หวานอมเปรี้ยวละมุนลิ้น และกลิ่นผลไม้สดที่สดชื่น “น้ำสับปะรดพริกเกลือ” เนื้อฉ่ำน้ำ ผสมกับ พริกสดบดและเกลือเล็กน้อย สดชื่น แปลกใหม่ต้องลอง เริ่มวางจำหน่ายทุกเที่ยวบินของไทยแอร์เอเชีย และไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2568 เท่านั้น

สำหรับกิจกรรม MJU Car Free Day 2025 “900,000 ก้าว เดินลดคาร์บอน” ทางคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาและจัดอันดับมหาวิทยาลัยสู่ความยั่งยืน (SDG Impact Raking Green University แaะ Healthy University) ด้านสิ่งแวดล้อม (Sustainable Environment) ร่วมกับกองกายภาพและสิ่งแวดล้อม กองพัฒนานักศึกษา องค์การนักศึกษา และสภานักศึกษา จัดขึ้นภายใต้โครงการขับเคลื่อนการพัฒนาและจัดอันดับมหาวิทยาลัยสู่ความยั่งยืน (SDG Impact Raking Green University แaะ Healthy University) ด้านสิ่งแวดล้อม (Sustainable Environment) โดยการเดินและนับจำนวนก้าวของผู้เข้าร่วมกิจกรรม ผ่านทางแอพพลิเคชั่น MUU Mobile ตั้งแต่วันที่ 10 – 24 กันยายน 2568 เพื่อการลดมลภาวะทางอากาศ ด้วยการเดิน แทนการใช้ยานพาหนะ ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี เกินกว่าเป้าหมายที่วางไว้ มีคณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากรและนักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรม โดยรวมจำนวนก้าวทั้งหมด 17,310,642 ก้าว นับเป็นระยะทาง 10,446.32 กิโลเมตร สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 16.23 tCO..mg / ปี เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ใหญ่จำนวน 727 ต้น ถือเป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ตระหนักและมีส่วนร่วมในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ให้เท่ากับศูนย์ ตานโยบายของมหาวิทยาลัย












วันนี้ (23 ก.ย. 68) นายฮาราดะ มาซารุ กงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่ พร้อมคณะ ได้เดินทางมาเข้าพบ นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ที่ ห้องรับรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเยี่ยมคารวะและแนะนำตัว พร้อมถือโอกาสหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในด้านต่างๆ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่น-เชียงใหม่
นายฮาราดะ มาซารุ กงสุลใหญ่ญี่ปุ่น ณ นครเชียงใหม่ กล่าวว่า ชาวเชียงใหม่กับชาวญี่ปุ่นมีความเข้ากันได้เป็นอย่างดี เพราะมีบุคลิกใกล้เคียงกัน จึงทำให้สามารถอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันมีชาวญี่ปุ่นที่ทำงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมลำพูน แต่มีบางส่วนที่มาพักอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่ ก็ได้รับการดูแลจากจังหวัดเชียงใหม่เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ในระหว่างพำนักอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ก็มีชาวญี่ปุ่นบางส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาน้ำท่วม รวมถึงปัญหามลพิษในแม่น้ำกก แต่ยังเชื่อมั่นในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหา ซึ่งญี่ปุ่นได้เตรียมคิดโครงการที่จะประสานความร่วมมือกับนานาชาติมาช่วยสนับสนุนแก้ไขปัญหาดังกล่าว ส่วนสิ่งที่อยากขอความร่วมมือจากจังหวัดเชียงใหม่ คือ อยากให้มีการร่วมกันขับเคลื่อนความสัมพันธ์ร่วมกับประเทศญี่ปุ่นให้มีความแน่นแฟ้นในด้านต่างๆ มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการท่องเที่ยวและการทำงานร่วมกันในรูปแบบของดิจิทัลโนแมด เพื่อเพิ่มระยะเวลาในการพำนักอาศัยและกลับมาเที่ยวซ้ำให้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังอยากให้มีการเพิ่มเที่ยวบินตรงระหว่างเชียงใหม่กับเมืองสำคัญของญี่ปุ่นให้มากขึ้น
ด้าน นายทศพล เผื่อนอุดม ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่และประเทศญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันเริ่มมีการสร้างความสัมพันธ์ในรูปแบบของเมืองพี่เมืองน้องร่วมกับเมืองสำคัญของญี่ปุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะเมืองฮอกไกโดที่มีการเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปี ความสัมพันธ์แบบเมืองพี่เมืองน้องไปเมื่อปีที่ผ่านมา โดยประเทศญี่ปุ่นถือเป็นต้นแบบที่ดี ทั้งในเรื่องความเป็นระเบียบสวยงามของบ้านเมือง ประชากรมีวินัยสูง และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่สำคัญคือการบริหารจัดการน้ำท่วมที่ดี ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่ก็ได้พยายามนำแนวคิดการแก้ปัญหาน้ำท่วมของญี่ปุ่นมาปรับใช้ในการบริหารจัดการน้ำของเชียงใหม่ด้วย โดยปัญหาที่จังหวัดเชียงใหม่พบ คือ ปัจจุบันลักษณะของฝนตกจะตกหนักแล้วแช่เป็นเวลานานหลายชั่วโมง และจะตกบริเวณหน้าเขื่อนไม่ได้ตกเหนือเขื่อน จึงไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ ดังนั้น เชียงใหม่จึงกำลังเร่งคิดหาโครงการที่จะแก้ปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว ส่วนในเบื้องต้นได้มีโครงการขุดลอกแม่น้ำปิง เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับมวลน้ำ ปัจจุบันดำเนินการในภาพรวมไปได้แล้วกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเรื่องการเพิ่มเที่ยวบินตรงระหว่างเชียงใหม่กับเมืองต่างๆ ของญี่ปุ่น จะมีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง












เชียงใหม่ – วันที่ 22 กันยายน 2568 จังหวัดเชียงใหม่จัดกิจกรรม KICK OFF “Chiang Mai Festival City : 12 เดือน 12 เทศกาล” อย่างยิ่งใหญ่ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ เพื่อสร้างการรับรู้และตอกย้ำภาพลักษณ์เชียงใหม่ในฐานะ “เมืองเทศกาลโลก” (World Festival and Event City) ตามแนวคิดการยกระดับ Soft Power ผ่านเทศกาล วัฒนธรรม และวิถีชีวิตล้านนา
นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ธรรมชาติ และประเพณีอันทรงคุณค่า ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติจากสมาคมงานเทศกาลนานาชาติ (IFEA) ตั้งแต่ปี 2022 ว่าเป็นเมืองที่มีเทศกาลหมุนเวียนตลอดทั้งปี ถือเป็นพลัง Soft Power ที่สามารถสร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ และยกระดับภาพลักษณ์ของเชียงใหม่ในสายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก
ด้านนายอิทธิรัฐ สินารักษ์ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า กิจกรรมภายใต้โครงการนี้ประกอบด้วย จุดถ่ายรูป 12 จุดทั่วเมือง, กิจกรรม “Passport to Chiang Mai & E-Passport”, สื่อประชาสัมพันธ์ออนไลน์เชิงสร้างสรรค์ และกิจกรรม “แชะ เช็ค แชร์” เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยว พร้อมเชื่อมโยงกับเทศกาลสำคัญตลอดปี เช่น เทศกาลดอกไม้เชียงใหม่, สงกรานต์ล้านนา, ยี่เป็งโคมไฟ และ Countdown Chiang Mai รวมถึงเทศกาลร่วมสมัยใหม่ ๆ เช่น Wellness & Wellbeing, Food Fun Fashion & Music และ Craft & Creative Design วันนี้ 22 กันยายน 2568 นี้ถือเป็นวัน KICKOFF กิจกรรมสร้างการรับรู้ท่องเที่ยว 12 เดือน 12 เทศกาล อย่างสร้างสรรค์ โดยสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ Facebook : Chiangmai Festival City 12 เดือน 12 เทศกาล หรือทาง Line : @chiangmaifest





กรุงเทพ- 19 กันยายน 2568 บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย ข้าวโพดหวานแปรรูป และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่น ๆ ภายใต้แบรนด์ KC จัดพิธี Grand Opening สำนักงานแห่งใหม่ ณ อาคารโอเชี่ยนทาวเวอร์ 1 เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร โดยมี ศาสตราภิชานไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ ประธานกรรมการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะกรรมการ ที่ปรึกษาบริษัท พันธมิตรทางธุรกิจ คู่ค้า สถาบันการเงิน และตลาดหลักทรัพย์ เข้าร่วมแสดงความยินดีอย่างอบอุ่น
นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า“การเปิดสำนักงานใหม่ที่กรุงเทพฯ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของซันสวีท ในการสร้างโอกาสทางธุรกิจ ขยายตลาดในประเทศ และเชื่อมโยงความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”
พร้อมกันนี้ นายองอาจ ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงทิศทางการทำตลาดว่า“ซันสวีทให้ความสำคัญกับการสื่อสารการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ ผ่านกลยุทธ์ Marketing ที่ตอบสนองกระแสความนิยมและพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละช่วงเวลา เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างและเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง”
สำนักงานใหม่แห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการดำเนินงานและการประสานงานกับพันธมิตรธุรกิจในทุกภาคส่วน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของซันสวีทในการพัฒนาและสร้างคุณค่าแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย



วันที่ 19 กันยายน 2568 นายชัชวาลย์ ปัญญา เป็นประธานเปิดงานวันอะโวคาโดคุณภาพเพื่อการส่งเสริมการบริโภค โดยมีนายนายเจริญ พิมพ์ขาล เกษตรจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวรายงาน วัตถุประสงค์การจัดงานเชิญชวนชม ชิม ช็อป อะโวกาโดคุณภาพเชียงใหม่ใน “วันอะโวคาโดคุณภาพเพื่อส่งเสริมการบริโภค” ตามโครงการยกระดับสินค้าเกษตรเกษตรเพิ่มมูลค่าสู่การเป็นเมืองสุขภาพระดับโลก โดยกำหนดจัดงานในวันที่19-20 กันยายน 2568 เริ่ม 11.00น.เป็นต้นไป ณ ลานกิจกรรม ชั้น G โซนลิฟต์แก้ว เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ และผู้สนใจร่วมงานในครั้งนี้
จังหวัดเชียงใหม่เป็นแหล่งผลิตอะโวคาโดอันดับ 1 ของภาคเหนือ พันธุ์ที่มีการปลูกมาก คือปีเตอร์สัน, บัคคาเนียร์, บูท 7, พิงค์เคอร์ตัน และแฮส ซึ่งเป็นพันธุ์การค้าที่ตลาดมีความต้องการสูง จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ปลูกอะโวคาโด 14,704 ไร่ ผลผลิตประมาณ 18,000 ตัน/ปี ราคาเฉลี่ยคละหน้าสวน 30 บาท/กิโลกรัม สร้างมูลค่าให้แก่เกษตรกรจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 360 ล้านบาท
กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วยการจัดเวทีเสวนาทิศทางการผลิตอะโวคาโดคุณภาพ และจัดการอบรมในหัวข้อ การผลิตและการตลาดอะโวคาโดคุณภาพ ทิศทางและแนวโน้มความต้องการอะโวคาโดของผู้บริโภคในอนาคต กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เกษตรกรผู้ปลูกอะโวคาโด จาก 12 อำเภอ จำนวนรวม 60 ราย มีการออกบูธจัดแสดงและออกร้านจำหน่ายผลผลิต อะโวคาโดบริโภคสดและแปรรูป จากเกษตรในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ รวม 13 บูธ จัดกิจกรรมการประกวดผลผลิตอะโวคาโดคุณภาพ และการแข่งขันประกอบอาหารที่มีส่วนผสมของอะโวคาโด ในการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อประชาสัมพันธ์ผลผลิตอะโวคาโดคุณภาพจังหวัดเชียงใหม่ ให้เป็นที่รู้จัก และเพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตอะโวคาโด เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกร
