ท่าอากาศยานเชียงใหม่มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม

วันที่ 4 กันยายน 2568 นาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) มอบถุงยังชีพจำนวน 50 ชุด พร้อมน้ำดื่มตราสัญลักษณ์ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ซึ่งพนักงานท่าอากาศยานเชียงใหม่ได้ร่วมแรงร่วมใจจัดเตรียมขึ้น เพื่อนำไปช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มในพื้นที่หมู่บ้านปางอุ๋ง ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายเมธาพันธ์ ภุชกฤษดาภา กำนันตำบลสุเทพ ในฐานะประธานเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้รับมอบ

การมอบถุงยังชีพในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของท่าอากาศยานเชียงใหม่ในการยืนหยัดเคียงข้างชุมชนในยามประสบภัย ตลอดจนการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมและการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด “สนามบินที่เป็นพลเมืองที่ดีของสังคม และเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของชุมชน” (Corporate Citizenship Airport)

SUN เปิดบ้านต้อนรับคณะ TopX 1 และ TopX 2 เยี่ยมชมบริษัท

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวโพดหวานแปรรูปและผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทาน ภายใต้แบรนด์ “KC” ได้เปิดบ้านต้อนรับคณะ TopX 1 และ TopX 2 ซึ่งเป็นกลุ่มผู้นำระดับสูง (Top Executive Program) จากหลากหลายองค์กรชั้นนำของประเทศ ที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้บริหารเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านกลยุทธ์และการจัดการธุรกิจ

คณะผู้บริหาร TopX ได้เข้าเยี่ยมชมกระบวนการผลิตของ SUN ทั้งในส่วนของ ข้าวโพดหวานแปรรูป ผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทานตรา KC การดำเนินงานด้านพลังงานทดแทน Biogas และการเกษตรครบวงจรที่ ไร่ตะวันหวาน (Sun Valley) เพื่อเรียนรู้แนวทางการบริหารจัดการเกษตรสมัยใหม่ และการสร้างคุณค่าธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม

การต้อนรับครั้งนี้ นำโดย นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยคณะผู้บริหารของบริษัท ที่ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองกับคณะ TopX เกี่ยวกับการขับเคลื่อนธุรกิจอาหารแห่งอนาคต ความท้าทายในอุตสาหกรรม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับผู้นำจากภาคธุรกิจต่าง ๆ ต่อไป

ศูนย์อุตุฯ ภาคเหนือ เผย เดือนกันยายนนี้ ภาคเหนือยังมีฝนตกชุกและพายุหมุนเขตร้อน

ศูนย์อุตุฯ ภาคเหนือ เผย เดือนกันยายนนี้ ภาคเหนือยังมีฝนตกชุกและพายุหมุนเขตร้อนยังมีโอกาสเคลื่อนผ่าน ขอให้ประชาชนเฝ้าระวังต่อเนื่อง เพื่อเตรียมรับมือกับภัยพิบัติฉุกเฉิน
วันนี้ (2 ก.ย. 68) ดร.สุกฤษณ์ เกิดแสง ผู้อำนวยการศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ ได้เปิดเผยข้อมูลภายในการแถลงข่าวสื่อมวลชนจังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 23 ของสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยพายัพ เกี่ยวกับสภาพอากาศและการคาดหมายลักษณะอากาศในช่วงเดือนกันยายน 2568 นี้ โดยระบุว่า ในปี 2568 จังหวัดเชียงใหม่มีฝนตกเยอะตั้งแต่เริ่มต้นเข้าสู่ฤดูฝน มีปริมาณน้ำฝนสูงกว่าค่าปกติถึง 34.4 เปอร์เซ็นต์ เฉพาะในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามีปริมาณฝนมากกว่าเดือนสิงหาคมปีที่แล้วถึง 12 เปอร์เซ็นต์ และในภาพรวมตลอดทั้งเดือนมีฝนตกถึง 22 วัน
สำหรับในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือได้คาดการณ์ว่า จะยังมีฝนตกชุกต่อเนื่องจากช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจายตัวเฉลี่ยอยู่ร้อยละ 60 – 70 ของพื้นที่ ซึ่งในช่วงวันที่ 4-8 กันยายน จะมีปริมาณฝนลดน้อยลงอยู่ที่ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ จากอิทธิพลของพายุดอกฟ้าอ่อนกำลังลง แต่หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่วันที่ 9 กันยายนเป็นต้นไป ฝนจะเริ่มกลับมาตกชุกอีกครั้ง โดยจะมีฝนหนักถึงหนักมากในบางวัน จำนวนวันที่ฝนตกรวมทั้งเดือน 18 – 21 วัน ซึ่งเป็นผลมาจากอิทธิพลของร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ มีปริมาณฝนรวม (เฉลี่ย) อยู่ที่ประมาณ 190-230 มิลลิเมตร จะมากกว่าค่าฝนปกติอยู่เล็กน้อย
สำหรับของข้อควรระวัง คือ ในช่วงเดือนกันยายนนี้ยังเป็นช่วงที่มีฝนตกชุกหนาแน่น และยังคงเป็นช่วงที่พายุหมุนเขตร้อนมีโอกาสเคลื่อนตัวผ่านเขตภาคเหนือได้อยู่ อย่างไรก็ตาม หากมีสัญญาณเหตุการณ์ที่พายุหมุนเขตร้อนเริ่มเกาะตัว และมีแนวโน้มเข้าข่ายเคลื่อนตัวในลักษณะอากาศรุนแรงเกิดขึ้น ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือจะรีบออกประกาศเตือนให้ประชาชนได้ทราบก่อนล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วัน เพื่อให้มีเวลาเตรียมพร้อมรับมือต่อภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ฝนตกหนักและหนักมากในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย น้ำท่วมขังในเขตเมือง และดินโคลนถล่ม

รองผู้ว่าฯเชียงใหม่ ร่วมเปิดกิจกรรมการจัดแสดงและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ที่ศูนย์ราชการ กรุงเทพฯ

วันนี้ (2 ก.ย. 68) ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารกรุงเทพมหานคร นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเป็นเกียรติและกล่าวรายงานในพิธีเปิดกิจกรรมการจัดแสดงและจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 โดยมี นายวิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูนเป็นประธานในพิธีเปิดฯ ซึ่งการจัดกิจกรรมดังกล่าวอยู่ภายใต้โครงการพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชุมชนจากภูมิภาคสู่สากล กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 สินค้าอัตลักษณ์ของชาวล้านนาจาก 4 จังหวัด (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน) โดยมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 – 5 กันยายน 2568 ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารมุ่งหวังให้ผลิตภัณฑ์ OTOP จากกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 เป็นที่รู้จักในวงกว้าง สร้างการรับรู้และขยายตลาดได้อย่างยั่งยืนทั่วประเทศ

“SUN” ร่วมส่งกำลังใจนำทีมจิตอาสา ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย บ้านปางอุ๋ง อ.แม่แจ่ม เชียงใหม่

เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN ผู้ผลิตและจำหน่ายข้าวโพดหวานและผลิตภัณฑ์แปรรูปสินค้าเกษตร ภายใต้แบรนด์ “KC” ร่วมกับพนักงานจิตอาสา ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุทกภัยครั้งใหญ่จากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นคาจิกิ ซึ่งส่งผลให้เกิดดินโคลนถล่มและน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่บ้านปางอุ๋ง ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่

ภัยพิบัติครั้งนี้ ได้สร้างความเสียหายรุนแรงต่อบ้านเรือนและวิถีชีวิตของประชาชน เพื่อร่วมบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเร่งด่วน บริษัทฯ และพนักงาน SUN ได้นำสิ่งของอุปโภคบริโภคที่จำเป็นไปมอบให้กับผู้ประสบภัย อาทิ ข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องพร้อมทาน ตรา KC และน้ำแร่ ตราฟ้าใส โดย บริษัท เชียงใหม่วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด และรองเท้าบูท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

การเข้าช่วยเหลือในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ SUN ในการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแลสังคมและชุมชนท้องถิ่น เชื่อมั่นว่าความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน จะเป็นพลังสำคัญในการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยให้กลับคืนสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน

อบจ. เปิดงาน “ โครงการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่” เพื่อส่งเสริมรากฐานของวัฒนธรรมที่ยั่งยืน

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 นายธีรพัฒน์ ตันพิริยะกุล รองนายก อบจ.เชียงใหม่ ประธานในพิธีกล่าวเปิดงานฯ ,นางวิทยาลักษณ์ สามใจ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และพันจ่าเอกวิทยา ลีละศาสตร์ รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ร่วมกันเปิดงาน โครงการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 28-29 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่

นายธีรพัฒน์ ต้นพิริยะกุล รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่ากระผมได้รับมอบหมายจากท่านพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ให้มาเป็นประธานในพิธีเปิด โครงการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจัดขึ้น ในระหว่างวันที่ 28 – 29 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ เป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และอุดมไป ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ทรงคุณค่า ภูมิปัญญาเหล่านี้ไม่เพียงเป็นรากฐาน ของวัฒนธรรม หากยังเป็นทุนทางสังคมและเศรษฐกิจที่สามารถพัฒนา และต่อยอดได้ในปัจจุบัน การจัดโครงการครั้งนี้ จึงนับเป็นโอกาสอันดี ที่จะได้สืบสาน และเผยแพร่ให้ประชาชน เยาวชนรุ่นใหม่ให้เกิดความรู้สึก ภาคภูมิใจ ตลอดจนเป็นอัตลักษณ์ที่สร้างแรงดึงดูดให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

ด้านพันจ่าเอก วิทยา ลีละศาสตร์ รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด กล่าวว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นรากฐาน ทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า และเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งด้านศิลปะหัตถกรรม ศิลปะการแสดง วิถีชีวิต และภูมิปัญญาพื้นบ้าน ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

ด้วยเหตุนี้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ จึงได้จัดทำโครงการ สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ขึ้น ระหว่างวันที่ 28 – 29 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่ คู่สังคมไทย เปิดโอกาสให้ประชาชน เยาวชน และนักท่องเที่ยว ได้เรียนรู้ และมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวัฒนธรรม สนับสนุนให้ภูมิปัญญาท้องถิ่น สามารถต่อยอดสู่เชิงสร้างสรรค์ และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ของจังหวัดเชียงใหม่

ภายในงานมีกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ การจัดแสดง นิทรรศการ การสาธิตงานหัตถกรรมและงานศิลป์ การแสดง ทางวัฒนธรรม การสัมมนาเชิงวิชาการ ตลอดจนกิจกรรมสาธิต ภูมิปัญญาเพื่อให้เยาวชนและผู้สนใจได้เรียนรู้และสัมผัส ประสบการณ์จริง

ส.กทอ. ชูโมเดล BCG ผลงานเด่นด้านอนุรักษ์พลังงานผ่านต้นแบบเมืองอัจฉริยะ มช. พร้อมกระตุ้นหน่วยงานในภูมิภาคยื่นขอจัดสรรทุนปี 2568

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 สำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส.กทอ.) ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ชูต้นแบบ BCG Model ผ่านโครงการต้นแบบเมืองอัจฉริยะพลังงานสะอาด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และโครงการที่เป็น Success Case ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยมีผลลัพธ์ด้านการอนุรักษ์พลังงานที่เป็นรูปธรรม พร้อมเชิญชวนหน่วยงานยื่นข้อเสนอเพื่อรับจัดสรรเงินกองทุนฯ ปีงบ 2568 ที่ยังยื่นได้ถึง 17 ก.ย. เวลา 16:30 น.

นายรัฐฉัตร ศิริพานิช ผู้จัดการสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ส.กทอ.) เปิดเผยว่า กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็นทุนหมุนเวียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ หรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้การจัดตั้งตาม พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งที่ผ่านมากองทุนได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชนไม่แสวงหาผลกำไร ผู้ประกอบกิจการโรงงานและอาคาร กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และประชาชนในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร และเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในการลดการใช้พลังงานได้มากกว่า 3,573 ktoe คิดเป็นมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท/ปี ในช่วงปี 2557 ถึงปัจจุบัน

ในการเดินทางมาศึกษาดูงานที่ศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน และศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจร รวมถึงตัวอย่างโครงการศึกษาของสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครั้งนี้ ถือว่าเป็นต้นแบบโครงการ BCG Model หรือการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติ ไปพร้อมกัน ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญเป็นโมเดลเศรษฐกิจใหม่สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

สำหรับโครงการต้นแบบเมืองอัจฉริยะพลังงานสะอาด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU Smart City-Clean Energy) เป็นหนึ่งใน 6 ต้นแบบที่กองทุนฯ ได้จัดสรรงบประมาณ 115,005,500 บาท เพื่อริเริ่ม “โครงการสนับสนุนการออกแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities-Clean Energy)” ในปี 2559 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงกำไร สถาบันการศึกษาเพื่อออกแบบพัฒนาเมืองของตนเองไปสู่เมืองอัจฉริยะ

โครงการมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 32,370 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/ปี ใน 20 ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 55.5 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2558 นอกจากนั้นยังมุ่งเน้นเป็นต้นแบบการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อมครบวงจรให้กับเมืองข้างเคียงได้พัฒนาสู่สังคมสีเขียวแบบอัจฉริยะ ส่งผลต่อชุมชนรอบข้างให้สามารถใช้ประโยชน์พื้นที่สีเขียวในเมืองมหาวิทยาลัย มีความสะดวกสบายในการสัญจรเพิ่มขึ้น และสามารถเรียนรู้ระบบบริหารจัดการในเมืองมหาวิทยาลัยเพื่อใช้เป็นต้นแบบในการปรับใช้กับชุมชนได้อีกด้วย

ทั้งนี้ โครงการมีผลประหยัดพลังงานที่เกิดขึ้นจริงได้ 28.62% หรือ 34,220,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 51.08% หรือ 32,370.68 ตัน/ปี สามารถผลิตพลังงานจากโซลาร์บนหลังคาได้ 19 เมกะวัตต์ ผลิตไบโอแก๊สจากขยะ 0.3 เมกะวัตต์ และมีโรงไบโอแก๊ส (ไขมันจากโรงอาหาร) 0.5 เมกะวัตต์ รวมผลิตพลังงานได้ 19.8 เมกะวัตต์ หรือเทียบเท่ากับ 51.14%ของพลังงานที่ใช้ทั้งหมด รวมทั้งมีระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และโซลาร์น้้าร้อน 20,000 ลิตร/วัน

“ผลลัพธ์ที่กองทุนฯ คาดหวังคือ เมืองไทยจะมีแผนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยเฉพาะในบริบทของการลดสภาวะโลกร้อนที่คำนึงถึงการใช้พลังงานสะอาด ช่วยลดพลังงาน ลดคาร์บอน และสร้างเมืองที่น่าอยู่และยั่งยืนสำหรับอนาคตต่อไป มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็เป็นพันธมิตรที่ดีของกองทุนฯ และเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการที่ผ่านมา ที่ได้มีการพัฒนาและยกระดับการดำเนินการพัฒนาเมืองอัจฉริยะอย่างต่อเนื่องจนได้รับรางวัลและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล มีการนำเทคโนโลยีด้านพลังงานต่าง ๆ ที่เคยได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เช่น ระบบก๊าซชีวภาพ การแปรรูปขยะเป็นพลังงาน การดัดแปลงรถยนต์เป็นรถไฟฟ้าและงานวิจัยอื่นๆ มาประยุกต์ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยฯ” ผู้จัดการ ส.กทอ.กล่าว

นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมศูนย์บริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจรของมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์เมืองอัจฉริยะของมหาวิทยาลัยฯ มุ่งเน้นกำจัดขยะอย่างยั่งยืน โดยนำขยะจากหอพักและโรงอาหารมาผลิตเป็นไบโอแก๊ส เพื่อนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง CBG (Compressed Biomethane Gas) หรือก๊าซไบโอมีเทนอัด คือเชื้อเพลิงที่ได้จากการนำก๊าซชีวภาพ (Biogas) มาปรับปรุงคุณภาพ มีคุณสมบัติเทียบเท่าก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV)

การบริหารจัดการชีวมวลแบบครบวงจรสามารถลดปริมาณขยะที่ต้องฝังกลบและเผาได้ประมรณ 4,500 ตัน/ปี ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 10,900 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยขยะอินทรืย์ 1 ตัน สามารถสร้างประโยชน์รวมได้มากถึง 1,500 – 2,000 บาท ซึ่งมาจากการผลิตก๊าซ การลดคาร์บอน และการประหยัดค่าขนส่ง ซึ่งโครงการนี้ก็ถือเป็นต้นแบบน่าสนใจในการนำเทคโนโลยีมาใช้แก้ปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม

​“ทั้งนี้ ยังมีตัวอย่างโครงการภายใต้การสนับสนุนของกองทุนฯ ประสบผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะจากสถาบันวิจัยพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงเล็งเห็นว่าหน่วยงานหรือองค์กรที่มีสิทธิ์ยื่นขอรับจัดสรรเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2568 ควรให้ความสำคัญกับกลไกนี้ของกองทุนฯ เพื่อเป็นการช่วยผลักดันหน่วยงานให้มีความพร้อมก้าวไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยล่าสุดทางคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้ขยายระยะเวลาการเปิดรับข้อเสนอโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 17 กันยายน 2568 จึงอยากเชิญชวนหน่วยงานเข้าร่วมยื่นข้อเสนอเพื่อรับทุนสนับสนุน ซึ่งในภาพรวมจะเกิดผลประหยัดพลังงานในวงกว้าง รวมทั้งเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนในประเทศมากขึ้นด้วย” ผู้จัดการ ส.กทอ.กล่าวในท้ายที่สุด

ศีกฟุตบอล จตุรเทพ 4 สถาบัน BIG 4 Family CUP 2025

ชมรมนักเรียนเก่าปทุมคงคา เชียงใหม่ โดย ดร.สนธยา เครือเวทย์ รองอธิบดีอัยการภาค 5 ประธานชมรม เป็นประธานพิธีเปิด การแข่งขันฟุตบออลจตุรเทพ 4 สถาบัน จ.เชียงใหม่ BIG 4 Family CUP 2025 ครั้งที่ 2 เนื่องในโอกาส 125 ปี ปทุมคงคา ชิงถ้วยรางวัลชนะเลิศจาก ดร.สนธยา เครือเวทย์ รองอธิบดีอัยการภาค 5 ท่านศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พล ต ต พิเชษฐ์ จิระนันตเสน รองผู้บัญชาการตำรวจภาค 5 และ นายสิงห์คาล เครือบุญ ประธานชมรมกีฬาฟุตบอลสื่อมวลชนเชียงใหม่ และการแข่งขันฟุตบอลมิตรภาพคู่พิเศษระหว่างทีมสื่อมวลชน จ.เชียงใหม่ กับทีม VIPปทุมคงคา นำทีมโดย ประทีป ปานขาว โดยจัดการแข่งขัน ณ สนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 24 สิงหาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 08.30 น.ถึง 15.00 น.
การแข่งขันฟุตบออลจตุรเทพ 4 สถาบัน จ.เชียงใหม่ ครั้งที่ 2 BIG 4 Family CUP 2025 เป็นกิจกรรมที่ ทางชมรมนักเรียนเก่าปทุมคงคา ที่มาทำงาน มาตั้งรกรากอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ และ บางส่วนที่เดินทางมาร่วมงานจากทั่วประเทศ งานนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินกิจกรรม จิตอาสาช่วยเหลือสังคม ขยายความร่วมมือไปยังทุกภาคส่วนในอนาคต การแข่งขันฟุตบอลมิตรภาพ 4 สถาบันการศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ ในครั้งนี้ ชิงถ้วยรางวัลชนะเลิศจาก ดร.สนธยา เครือเวทย์ รองอธิบดีอัยการภาค 5 รองชนะเลิศ อันดับที่ 1 จากท่านศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รองชนะเลิศอันดับที่ 2 จาก พล.ต.ต.พิเชษฐ์ จิระนันตเสน รองผู้บัญชาการตำรวจภาค 5 และ รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 3 จาก นายสิงห์คาล เครือบุญ ประธานชมรมกีฬาสื่อมวลชนเชียงใหม่ ทีมที่เข้าร่วมแข่งขันประกอบด้วย ทีมเครือข่ายฟุตบอลจาก โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์ โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย และโรงเรียนปทุมคงคา โดยกำหนดให้แต่ละทีมประกอบด้วย บุคลากรทางการศิกษา ศิษย์เก่า ผู้ปกครอง และพันธมิตรทางสังคม ปิดท้ายด้วยฟุตบอลมิตรถาพระหว่าง ทีมสื่อมวลชนเชียงใหม่ กับทีม ปทุมคงคา นำทีมโดย ประทีป ปานขาว นักเรียยนเก่าปทุมคงคา อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย และนอกจากกนี้ เรายังมีรางวัลนักเตะทรงคุณค่าในตำแหน่งต่างๆ โดยได้รับการสนับสนุนเสื้อสามารถจากนักเรียนเก่าปทุมคงคาที่เป็นนักฟุตบอลทีมชาติ และอดีตนักฟุตบอลทีมชาติ ประกอบด้วย (อาร์ม)ศุภชัย ใจเด็ด (พี่หนุ่ย) เฉลิมวุฒิ สง่าพล พี่มาด๊าด ทองท้วม พี่มณเฑียร สง่าพล พี่อภิรักษ์ ศรีอรุณ พี่อดุลย์ รุ่งเรือง และงานพี่ ปิยพงษ์ ผิวอ่อน อยากมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนี้แต่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ทัน แต่จะเดินทางมาเชียงใหม่ พร้อมที่จะมามอบรางวัล นักฟุตบอลผู้ส่งเสริมกิจกรรมฟุตบอลในครั้งนี้ แก่ผู้ถูกคัดเลือกที่เข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ จะนัดหมายการมอบรางวัลจากพี่ปิยพงษ์ฯ อีกครั้ง

ชมรมนักเรียนเก่าปทุมคงคาเชียงใหม่ ขอขอบคุณความร่วมมือจาก เพื่อนๆ ทั่วประเทศ ส่งความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ การสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ร้านวนัสนันท์ บ.รวมป้าย แอนด์ ดีไซน์ นิ่มซี่เส็ง ห้องอาหารตี๋น้อยโอชา Rewadee Hill Cill Ta และการสนับสนุนจากเทศบาลนครเชียงใหม่ ให้การแข่งขันฟุตบอลเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือ ส่งผลดีแก่วงการศึกษาและส่งเสริมการออกกำลังกาย ประสานความร่วมมือแก่บุคลากร ทั้งด้านการศึกษาและด้านกีฬา ส่งเสริมให้ศิษย์เก่าได้กลับมามีส่วนช่วยดูแลโรงเรียน ผู้ปกครองและพันธมิตรทางสังคม ให้ความสำคัญแก่เด็กเยาวชน ในรูปแบบความช่วยเหลือ “จิตอาสา” ผู้ให้ย่อมสุขใจกว่าผู้รับ เพื่อสร้างสังคมไทยให้น่าอยู่สืบไป

” มาดามหยก “ ถวายปัจจัยช่วยเหลือพระพุทธศาสนา จ.ชม. หวังสร้างกำลังใจ พระสงฆ์เดินหน้าสอนธรรมเป็นที่พึ่งประชาชน

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ณ วัดสวนดอก พระอารามหลวง ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่  โดยน.ส.กชพร เวโรจน์ (มาดามหยก ) เปิดเผยว่า การประชุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่วันนี้ ที่มีกว่า 300 วัด ถือเป็นการประชุมกันตามปกติ มีคณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ โดยบัญชาพระเดชพระคุณพระเทพมังคลาจารย์ เจ้า คณะจังหวัดเชียงใหม่ กำหนดให้มีการประชุมสัญจรพระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส และพระ เลขานุการเจ้าคณะทุกตำแหน่ง ตามตาราง วัน-เวลา-สถานที่ดังกล่าว

ทั้งนี้ ส่วนของมาดามหยก นั้น ถือโอกาสถวายเงินปัจจัยสนับสนุนทางพระสงฆ์ เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่พระเถระผู้ใหญ่ และพระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในการดำเนินงานทางพระพุทธศาสนาตามที่ตนเองเลืองใส ในมุมมองของเราช่วงเวลานี้พระสงฆ์ท่านก็อาจจะมีกำลังใจทดถอย ตามกระแสข่าวที่ได้พบเจอไปบ้าง เพราะมองว่าทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา ยอมมีเรื่องราวต่างๆ บ้างช่วงบางช่วงเวลา ที่ทั้งดีและก็ไม่ดี ทั้งนี้การมาถวายกองทุนต่างๆ และเครื่องตรวจข้อสอบให้คณะสงฆ์ในจังหวัดเชียงใหม่ได้ใช้นั้น ย่อมทำให้คณะสงฆ์เดินหน้าสอนธรรมะต่อไปไม่มากก็น้อย

นอกจากนี้ มาดามหยกยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากการช่วยเหลือด้านปัจจัยพระพุทธศาสนาแล้ว เรายังช่วยในเรื่องของชายแดนที่เกิดปัญหา ณ เวลานี้ ทั้งทหาร พยาบาล ชาวบ้าน จังหวัดที่ติดชายแดน เราได้ให้กำลังใจมีการมอบสิ่งของใช้ต่างๆ ไม่ต่างจากการช่วยเหลือเรื่องของพระพุทธศาสนา ในฐานะคนไทยคนหนึ่งก็อยากที่จะถวายกำลังใจให้พระสงฆ์เพราะว่าหยกเป็นคนหนึ่งที่เมื่อมีเวลาว่างหยกก็จะไปบวชชีพราหมณ์ตามวัดป่าแล้วก็วัดต่างๆ มาตั้งแต่อายุ 20 ปี นี้ก็ 20 กว่าปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม “ อยากให้ประชาชนแยกแยะแล้วก็ช่วยกันทะนุบำรุงไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนา หรือคริสตศาสนา หรือศาสนาอิสลาม หรือแม้แต่ทุกนิกายทุกศาสนา หยกมองว่าทุกศาสนาสอนให้คน เป็นคนดี แล้วเมื่อเวลาเราขาดที่พึ่งแต่ละคนก็จะมีศาสนาของตัวเองเป็นที่ยึดเหนี่ยว ดังนั้นเมื่อศาสนาพึ่งพวกเราประชาชนก็ควรที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้กับทางผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ยึดเหนี่ยวเช่นกัน “มาดามหยกกล่าว

รองนายกฯ ภูมิธรรม แถลงจับกุมยาเสพติดล็อตใหญ่ไอซ์ 700 กิโลกรัม ที่ จ.เชียงใหม่

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 ที่ตำรวจภูธรภาค 5 อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ร่วมกันแถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ หลังจากเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ที่ผ่านมา กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 335 ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ในพื้นที่ได้จับกุมผู้ต้องหา 1 คน ทราบชื่อคือนายดำรัส อายุ 33 ปี ชาวตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมของกลาง ไอซ์ จำนวน 700 กิโลกรัม

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ปฏิบัติการจับกุมครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้ เป็นเครื่องยืนยันว่าเมื่อทุกหน่วยงานร่วมมือกันอย่างจริงจัง โดยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลและเป็นปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลมุ่งแก้ไขปัญหาขจัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชน ตั้งแต่การป้องกัน ปราบปราม และการฟื้นฟู โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชน หมู่บ้าน ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างรถเอกซเรย์มาปรับใช้ด้วย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ในการตรวจค้นยาเสพติด พร้อมกันนี้ ยังได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกนายที่ได้เสียสละทำงานอย่างเข้มข้นมาโดยตลอดเพื่อยุติปัญหาภัยคุกคามจากยาเสพติด

สำหรับปฏิบัติการดังกล่าวได้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งข่าวว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากบ้านป่าบงงาม ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เข้ามายังพื้นที่ตอนในของประเทศ กระทั่งเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 เวลา 02.00 น. เจ้าหน้าที่ได้พบรถยนต์ โตโยต้า ไทเกอร์ ทะเบียน ผพ 1068 เชียงใหม่ กำลังขับออกจากสวนจึงได้เข้าไปแสดงตัวควบคุมรถยนต์และนายดำรัส ซึ่งเป็นคนขับรถไว้
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่อีกหนึ่งชุดปฏิบัติการได้เข้าไปตรวจสอบบริเวณสวนที่แหล่งข่าวแจ้งว่ามียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ พบชายอีก 2 คนยืนอยู่บริเวณดังกล่าว เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่จึงได้อาศัยความมืดและความชำนาญในพื้นที่วิ่งหลบหนีไปได้ และยังพบกระสอบที่ภายในบรรจุยาเสพติดชนิดไอซ์ จำนวน 28 กระสอบ กระสอบละประมาณ 25 กิโลกรัม น้ำหนักรวมทั้งสิ้นประมาณ 700 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ในกอกล้วย คลุมด้วยผ้าใบสีดำและปกคลุมด้วยกิ่งและใบลำไยเพื่ออำพรางไว้อีกชั้นหนึ่ง นอกจากนี้บริเวณกระท่อมในสวน ยังพบรถจักรยานยนต์ จำนวน 2 คัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาเสพติดทั้งหมดนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.นาหวาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป