SUN ลงนามความร่วมมือ Agro CMU หนุนวิจัย-พัฒนานวัตกรรมอาหาร และเสริมทักษะนักศึกษาสู่ตลาดอุตสาหกรรม

SUN ลงนามความร่วมมือ Agro CMU หนุนวิจัย-พัฒนานวัตกรรมอาหาร และเสริมทักษะนักศึกษาสู่ตลาดอุตสาหกรรม

วันที่ 2 พฤษภาคม 2568  บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (Agro CMU) เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมอาหาร บรรจุภัณฑ์ และยกระดับทักษะของนักศึกษาให้พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุม 3 คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

พิธีลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.ยุทธนา พิมลศิริผล คณบดีคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ นายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนร่วมลงนาม พร้อมด้วยคณาจารย์และผู้บริหารจากทั้งสองหน่วยงานเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน การร่วมมือครั้งนี้เน้นส่งเสริมการวิจัยด้านเทคโนโลยีอาหารสมัยใหม่ อาทิ การศึกษากระบวนการถนอมอาหาร การกระจายความร้อน (Thermal Distribution), การแทรกผ่านความร้อน (Heat Penetration) และการประเมินอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ (Shelf Life Evaluation) เพื่อนำไปสู่การผลิตอาหารแปรรูปที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และตรงตามมาตรฐานสากล ในด้านการพัฒนาบุคลากร SUN พร้อมเปิดพื้นที่โรงงานเพื่อรองรับนักศึกษาในโครงการฝึกงาน สหกิจศึกษา และโครงการพิเศษที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยหรือการพัฒนาเชิงพาณิชย์ โดยจะมีการถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญภาคอุตสาหกรรม และส่งเสริมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง

นายองอาจ กิตติคุณชัย กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรควบคู่กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ความร่วมมือกับ Agro CMU จะช่วยเชื่อมโยงภาคการศึกษากับภาคอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมรากฐานสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารที่ยั่งยืน และเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการเรียนรู้เชิงปฏิบัติของนักศึกษา และเพิ่มโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอาหาร ตอบโจทย์ความต้องการในอนาคต

ทั้งนี้ บันทึกข้อตกลงมีระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี และคาดว่าจะมีการต่อยอดสู่โครงการอื่น ๆ เช่น การร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ของบริษัท หรือการเป็นฐานทดลองนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ในอนาคต เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในในระดับประเทศและสากลต่อไป

ประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินทขีล ประจำปี 2568 ในวันที่ 23-29 พฤษภาคม 2568 นี้ ที่วัดเจดีย์หลวง วรวิหาร

จังหวัดเชียงใหม่ เตรียมจัดงานบุญใหญ่ ประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินทขีล ประจำปี 2568 ในวันที่ 23-29 พฤษภาคม 2568 นี้ ที่วัดเจดีย์หลวง วรวิหาร

วันนี้ (1 พ.ค. 68) พระราชวชิรสิทธิ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง วรวิหาร และ นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ และนายมนต์ชัย พงศ์เกียรติก้อง รองปลัดเทศบาลนครเชียงใหม่ ได้ร่วมกันแถลงข่าวเตรียมจัดงานประเพณีใส่ดอกบูชาเสาอินทขีล ซึ่งในปีนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 29 พฤษภาคม 2568 ณ วัดเจดีย์หลวง วรวิหาร อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

พระราชวชิรสิทธิ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง วรวิหาร กล่าวว่า งานประเพณีใส่ดอกบูชาเสาอินทขีล เป็นประเพณีที่มีอัตลักษณ์พิเศษเพียงที่เดียวของประเทศไทยที่ควรแก่การส่งเสริม Soft Power ตามนโยบายของรัฐบาล เป็นเสาหลักเมืองที่มีความพิเศษ คือมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ที่สำคัญในปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำสรง และผ้าไตรพระราชทาน สรงน้ำพระเจ้าอุ่มเมือง (พระเจ้าแป๊ขึด) และสรงน้ำเสาอินทขีล (เสาหลักเมืองเชียงใหม่) ด้วย นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้แก่ประชาชนชาวเชียงใหม่

ขณะที่ นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเพณีใส่ขันดอกอินทขีล วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ ได้กลายเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของทุกคนที่จะมาเชียงใหม่ในห้วงของเดือนพฤษภาคม เพื่อมากราบไหว้ เสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และสืบสานวัฒนธรรมล้านนาอันทรงคุณค่า แสดงพลังแห่งความศรัทธา ในการอนุรักษ์เอกลักษณ์อันงดงามของท้องถิ่นให้คงอยู่อย่างยั่งยืน

โดยการจัดงานประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินทขีล ในปี 2568 นี้ ทางสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นโอกาสทองที่จะทำให้กระตุ้นเศรษกิจในจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงเดือนพฤษภาคม อีกทั้งเป็นการเริ่มต้นประชาสัมพันธ์ให้งานประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินทขีลได้เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวมากขึ้น

ทั้งนี้ ทางเทศบาลนครเชียงใหม่ ได้จัดเตรียมความพร้อมทั้งงานพิธี สถานที่ และเจ้าหน้าที่ ในการพร้อมจัดงานประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินขีล จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ร่วมแต่งกายด้วยชุดสุภาพหรือ ชุดพื้นเมืองเข้าร่วมงาน ประเพณีใส่ขันดอกบูชาเสาอินทีล (เสาหลักเมืองเชียงใหม่) ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 23-29 พฤษภาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 06.00-24.00 น. ของทุกวัน ณ วัดเจดีย์หลวง วรวิหาร เมืองเชียงใหม่

พลิกโฉมใหม่ “กาดหลวง” ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต

พลิกโฉมใหม่ “กาดหลวง” ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต

เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต พลิกโฉมใหม่ “กาดหลวง” Local Food Market ที่ใหญ่ที่สุด ศูนย์รวมร้านอาหารชั้นนำกว่า 98 ร้าน เมนูให้เลือกมากกว่า 2,000 รายการ พร้อมสร้างเดสติเนชั่นที่ผู้คนต้องมาเยือน พร้อมมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่หลากหลาย ในบรรยากาศที่สะดวกสบายและสะอาด เป็นจุดนัดพบและแหล่งซื้อของกิน ของฝากพื้นเมืองชั้นเยี่ยม อาทิ ร้านโกยีข้าวมันไก่,ร้านข้าวซอยลำดวนฟ้าฮ่าม,ร้านก๋วยเตี๋ยวอัญชัน,ร้านคั่วไก่นิมมาน, ร้านเฮือนเพ็ญ, ร้านขาหมูช้างเผือก, ร้านบลูสเต๊กเฮ้าส์, ร้านหยกฟ้าโภชนา, ร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านดำรงค์, ร้านผัดไทรสชา,ร้านตั๊กกะเพราถาดยักษ์,ตำแซ่บเว่อร์ By พี่แมว, และร้านผัดไทยโบราณ

โดยพิธีเปิดงาน ได้รับเกียรติจาก คุณศิวะ ธมิกานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ประธานในพิธี พร้อมด้วยคุณเก่ง ชัยวารินทร์ รองผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่, คุณศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่, คุณภัทรา ทรัพยะประภา ผู้บริหารสายงานธุรกิจศูนย์อาหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน), คุณพรเทพ อรรถกิจไพศาล รักษาการผู้อำนวยการกลุ่มงานปฏิบัติการสาขาภาคเหนือ บ.เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน), คุณศิระ สันติตรานนท์ ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต, คุณวีรโชติ ถิรวายามกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดเขตภาคเหนือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) พร้อมแขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนร่วมงานคับคั่ง ณ ลานกิจกรรม ชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต

ศูนย์อนุรักษ์ช้างปางช้างแม่สา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ นำปู่พลายบุญเป็ง วัยกว่า 65 ปี เข้าสู่บ้านพักช้างชรา เพื่อพักผ่อนเต็มที่

ศูนย์อนุรักษ์ช้างปางช้างแม่สา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ นำปู่พลายบุญเป็ง วัยกว่า 65 ปี เข้าสู่บ้านพักช้างชรา เพื่อพักผ่อนเต็มที่

ที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ในปางช้างแม่สา อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เมื่อเวลา 14.00 น.ของวันที่ 28 เมษายน 2568 นางรัตนา ศรีหมอก ผู้จัดการทั่วไปปางช้างแม่สา พร้อมควาญช้างได้นำช้างพลาย ปู่บุญเป็ง วัยกว่า 65 ปี เข้าสู่บ้านพักช้างสูงวัย เพื่อให้ไปอยู่ในความดูแลของทีมงานควาญช้างบ้านพักช้างชรา เนื่องจากเริ่มมีอาการอ่อนล้าและล้มป่วยลงบ่อยครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่ตามป่าอย่างเป็นธรรมชาติมานานหลายปี

จากนี้ไปควาญช้างของพลายบุญเป็งจะต้องฝึกในเรื่องการบริบาลช้างสูงวัยตามที่ควรจะเป็น โดยช้างจะมีเวลาพักผ่อน และมีเวลากินมากขึ้น โดยมีสัตวแพทย์แวะเวียนมาตรวจบ่อยขึ้นด้วย ช้างแก่จะได้รับอาหารเสริม กล้วยสุก วิตามินเกลือแร่ต่างๆจนสิ้นอายุขัยหลังจากที่ปางช้างแม่สาเพิ่งสูญเสียช้างพลายจ่าฝูง”พลายคำหมื่น งาอ้อมจักรวาล”วัย 90 ปี ไปไม่นานนี้ ช้างพลายบุญเป็ง จึงถือว่าเป็นช้างสูงวัยที่รองลงมา สมควรย้ายเข้าสู่บ้านพักช้างชราเพื่อให้ได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต

ในเรื่องนี้ทาง นางอัญชลี กัลมาพิจิตร ผู้บริหารปางช้างแม่สา และศูนย์อนุรักษ์ช้างปางช้างแม่สา ได้เผยว่า อยากจะทำความเข้าใจให้กระจ่างเรื่องการบริหารจัดการช้างในปางช้างแม่สาที่ตั้งอยู่คู่เมืองเชียงใหม่และยังเป็นสถานที่เลี้ยงช้างมายาวนานจะร่วม 50 ปีแล้ว ฉะนั้นในปางช้างแม่สา จึงมีช้างชราจำนวนมากกว่า 12 เชือก จนปางช้างแม่สา ต้องเปิดโซนช้างสูงวัยขึ้นมา เพื่อที่จะยืดอายุช้างออกไป โดยช้างตามธรรมชาติจะมีฟันจำนวน 6 ชุด พอฟันชุดที่ 6 หลุดไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นช้างป่าหรือช้างบ้าน การกินอาหารของช้างจะทำได้ยาก ทำให้ช้างนั้นล้มไปในที่สุด

ช้างที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากมนุษย์จึงมีสภาพอ่อนแรงอยู่รอความตายอย่างเดียว แต่ที่บ้านพักช้างสูงวัยของเรา มีระบบดูแลในเรื่องอาหารเป็นพิเศษ คือทางเราได้ซื้อเครื่องบดหญ้ามาไว้หลายเครื่องเพื่อบดหรือสับหญ้าให้ช้างกิน ช้างที่มีฟันเหลือน้อย หรือไม่มีฟันเลยก็สามารถที่จะกลืนอาหารที่เราทำขึ้นมาเข้าไป ทำให้ยืดอายุออกไปได้ ทุกเช้าจะมีการบดหญ้าผสมอาหารเม็ดลงไปเพื่อเติมแร่ธาตุวิตามินคลุกเคล้าด้วยกล้วยสุก ทำการแจกจ่ายไปยังคอกของช้าง โดยช้างชราจะกินอาหารอย่างช้าๆ กาละมังหนึ่งใบใหญ่ๆ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง กินแบบกระเด็นไปทั่วเต็มพื้น ทำให้การบริโภคอาหารไม่เต็ม100 เปอร์เซ็นต์ จึงต้องให้วันละหลายครั้งทุกสองถึงสามชั่วโมงให้ช้างชราได้อิ่มท้อง ไม่เหมือนสมัยที่ฟันยังดีอยู่ ช้างสามารถเคี้ยวอาหารได้ดี จากนั้นเราก็จะสังเกตดูจากมูลช้างในเรื่องการย่อยอาหาร เริ่มต้นบดเคี้ยวจากในปากไปจนถึงระบบลำไส้ว่ามูลช้างนั้นมันมีความละเอียดความหยาบอย่างไร มีการดูดซึมได้ดีไหม

นางอัญชลี กัลมาพิจิตร ได้กล่าวต่อไปว่า ในบ่ายวันนี้จะมีการย้ายพลายบุญเป็งเข้าไปสู่บ้านพักช้างชรา ที่ผ่านมาช้างเชือกนี้ชอบอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ไม่เคยเข้าอยู่ในคอกที่มีหลังคามาก่อน จึงต้องเฝ้าดูพฤติกรรมของช้างซักระยะหนึ่ง แต่ถือว่าเป็นนิมิตรหมายอันดีในการปลดระวางหรือเกษียณอายุการทำงานของพ่อพลายบุญเป็ง ซึ่งทางเราจะต้องมีพื้นที่จัดเตรียมอย่างเพียงพอไว้ให้ช้างที่จะทยอยกันมาอยู่ที่บ้านพักช้างแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคตอันใกล้นี้

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ฯ จัดงาน BDI สัญจร 2025 พลิกโฉมเมืองด้วย Big Data & AI ครั้งที่ 2 ที่ จ.เชียงใหม่ ผลักดันการใช้ข้อมูลเพื่อยกระดับเมือง สังคม และคุณภาพชีวิตของชาวเชียงใหม่

BDI สานต่อความสำเร็จการจัดงาน “BDI สัญจร 2025 พลิกโฉมเมืองด้วย BIG DATA & AI” หนุนขยายองค์ความรู้ด้านข้อมูลขนาดใหญ่และปัญญาประดิษฐ์ สู่ภูมิภาค เดินหน้าจัดกิจกรรรม ครั้งที่ 2 ณ จังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่วันที่ 25 – 27 เมษายน 2568 ระหว่างเวลา 11.00 น. – 19.00 น. ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ โดยเมื่อวันที่25 เมษายน นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในงาน BDI สัญจร 2025 พลิกโฉมเมืองด้วย Big Data & AI ครั้งที่ 2

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) จัดงาน “BDI สัญจร 2025 พลิกโฉมเมืองด้วย BIG DATA & AI” ครั้งที่ 2 ณ จังหวัดเชียงใหม่ เดินหน้าเสริมสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมมุ่งยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวเชียงใหม่ พบกับกิจกรรมการเรียนรู้ Big Data และ AI กุญแจสำคัญในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยข้อมูลและการตัดสินใจเชิงนโยบายที่แม่นยำผ่านการส่งเสริมการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ พร้อมทำความรู้จักกับภารกิจของ BDI ที่จะบูรณาการขับเคลื่อนจังหวัดเชียงใหม่ในมิติต่างๆ ตลอดจนกิจกรรมเสวนากับผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายหัวข้อเพื่อการพัฒนาเมืองเชียงใหม่อย่างยั่งยืนด้วย Big Data และ AI และร่วมสนุกกับกิจกรรม Edutainment ที่ทั้งสนุกและเติมเต็มความรู้ เข้าร่วมงานได้ฟรี ระหว่างวันที่ 25 – 27 เมษายน 2568 เวลา 11.00 – 19.00 น. ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่

นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่มีความพร้อมในการประยุกต์ใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ในการกำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาเมืองในทุกมิติ โดยเชื่อมั่นว่าการใช้ข้อมูลอย่างเป็นระบบและแม่นยำจะช่วยให้การบริหารงานของภาครัฐมีความโปร่งใส ถูกต้อง รวดเร็วและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น
ข้อมูลจะมีคุณค่าอย่างแท้จริงเมื่อสามารถนำมาวิเคราะห์และต่อยอดเพื่อวางแผนรับมือกับความท้าทาย ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยว สุขภาพ และการพัฒนาเมืองในระยะยาว จังหวัดเชียงใหม่จึงให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมการใช้ข้อมูลในทุกระดับ เพื่อให้การตัดสินใจของหน่วยงานรัฐมีความแม่นยำ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับการจัดกิจกรรม BDI สัญจร 2025 พลิกโฉมเมืองด้วย Big Data และ AI ขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ จึงนับเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและภาคธุรกิจในการใช้ข้อมูลอย่างสร้างสรรค์ พร้อมทั้งแสดงความเชื่อมั่นว่า งานครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการยกระดับการพัฒนาเมืองด้วย Big Data และ AI อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป นายแพทย์ธนกฤต จินตวร ผู้บริหารกิจการพิเศษ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ เปิดเผยว่า BDI มีภารกิจสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์การใช้ประโยชน์จากข้อมูล ที่ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ มาขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในมิติต่างๆ รวมถึงบทบาทในการส่งเสริมให้เกิดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ Big Data เพื่อให้ประชาชนคนไทยทุกภาคส่วนสามารถนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด จึงได้กำหนดจัดงาน BDI สัญจร 2025 พลิกโฉมเมืองด้วย BIG DATA & AI เพื่อเป็นกิจกรรมสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ Big Data และ ทำความรู้จักกับเทคโนโลยี AI ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม

“การจัดงาน BDI สัญจร 2025 พลิกโฉมเมืองด้วย BIG DATA & AI ณ จังหวัดเชียงใหม่ ในครั้งนี้ เป็นการจัดงานครั้งที่ 2 หลังจากได้ผลตอบรับอย่างดีจากจังหวัดนครราชสีมา โดยจังหวัดเชียงใหม่ นับเป็นศูนย์กลางของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือทั้งในด้านเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว ทั้งนี้ BDI ได้เข้ามาดำเนินงานร่วมกับเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนภายในจังหวัดเชียงใหม่ ในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในหลายๆ โครงการ อาทิ

ความร่วมมือโครงการ Envi Link ของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) กับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.), สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (สวพส.), สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) และ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จากการสนับสนุนงบประมาณด้วยทุนวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ภายใต้การจัดการของ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในช่วงเดือนมีนาคม 2567 – มิถุนายน 2568 เพื่อจัดทำ โครงการพัฒนาระบบบัญชีข้อมูลและต้นแบบการบูรณาการข้อมูลฝุ่น PM 2.5 โดยมีเป้าหมายในการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 เพื่อนำไปใช้สนับสนุนการจัดการคุณภาพอากาศอย่างเป็นระบบ ซึ่งโครงการนี้ได้รวบรวมข้อมูลจากหลากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการฝุ่น PM 2.5 ด้วยการจัดเก็บเป็นบัญชีข้อมูล (Data Catalog) พร้อมทั้งให้บริการแดชบอร์ดนำเสนอการวิเคราะห์ข้อมูลฝุ่นในหลายมิติ โดยมุ่งหวังที่จะสร้างความร่วมมือข้าม ภาคส่วน เพื่อป้องกันและลดปัญหามลพิษทางอากาศ นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และในปัจจุบันอยู่ในช่วงการขยายผลอย่างต่อเนื่องโดยได้ร่วมกับทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในปี 2568 เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการลดฝุ่น PM 2.5 ใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบนอีกด้วย

ทั้งนี้ โครงการแพลตฟอร์มบริการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับพื้นที่เมืองอัจฉริยะ หรือ Envi Link เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงข้อมูลสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ด้วยการสนับสนุนการวางแผนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม อากาศสะอาด และลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์โดยรวบรวมข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 30 องค์กร มากกว่า 200 ชุดข้อมูลผ่านเว็บไซต์ https://envilink.go.th ซึ่งปัจจุบันแพลตฟอร์ม Envi Link มีผู้เข้าชมเกือบ 50,000 ครั้ง และได้พัฒนาแดชบอร์ดที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมไปแล้วกว่า 15 แดชบอร์ด อาทิ แดชบอร์ดแสดงคุณภาพอากาศจากค่าฝุ่น PM2.5 ย้อนหลัง 24 ชั่วโมง, แดชบอร์ดรายงานตัวชี้วัดการจัดการปัญหาฝุ่นรายจังหวัด, แดชบอร์ดอธิบายการเปรียบเทียบพื้นที่ที่มีการขอใช้ไฟผ่านระบบ Fire-D และพื้นที่เผาไหม้จริงจากภาพถ่ายดาวเทียมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น

นอกจากนี้ BDI ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้วยการนำเสนอแพลตฟอร์ม Travel Link ภายในงานประชาสัมพันธ์การดำเนินงานของ ททท. ด้านดิจิทัล วิจัยและพัฒนา โดยมีผู้ประกอบการการท่องเที่ยว ชุมชนท่องเที่ยว หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงใหม่เข้าร่วมกว่า 50 ราย ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการวิเคราะห์และวางแผนการส่งเสริมการตลาดของนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศของผู้ประกอบการการท่องเที่ยว รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน และในเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้จัดประชุมและสัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านข้อมูลการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดเซียงใหม่ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศด้วยการบูรณาการและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการท่องเที่ยวจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาใช้เป็นฐานข้อมูลกลางในการให้บริการ เช่น ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะด้านการท่องเที่ยวแห่งชาติ (National Tourism Intelligent Platform : Travel Link) เพื่อให้ผู้ใช้งานทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถเพิ่มขีดความสามารถ และสร้างโอกาสด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 1 เชียงใหม่ ภายใต้โครงการ Health Link แพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศ ที่ช่วยให้แพทย์สามารถดูประวัติการรักษาได้ทันที สะดวก ง่าย ปลอดภัยด้วยการยืนยันตัวตนของประชาชนและแพทย์ ผ่านการเข้ารหัสข้อมูลและระหว่างจัดส่งข้อมูล รวมถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบัน Health Link มีสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,500 แห่งทั่วประเทศ โดยในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลไปแล้วรวมกว่า 10 แห่ง และกำลังขยายให้ครอบคลุมทุกหน่วยบริการในระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ในพื้นที่ สปสช. เขต 1 อีกกว่า 2,000 แห่ง ส่งผลให้ประชาชนเกิดการรักษาแบบไร้รอยต่อ พร้อมพัฒนากลไกการใช้ประโยชน์จากข้อมูล Health Link อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การเชื่อมต่อข้อมูลที่มีความยั่งยืนและเกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกภาคส่วนต่อไป และยังสามารถตอบสนองนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ทำให้ชาวเชียงใหม่เข้าสู่ระบบสาธารณสุขได้ทุกรูปแบบ และแพทย์สามารถดูประวัติการรักษาข้ามสถานพยาบาลนอกสังกัด ที่ต้องได้รับการอนุญาตจากผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยในการตรวจวินิจฉัยที่ซ้ำซ้อน และสามารถได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องและทันท่วงที

สำหรับกิจกรรม BDI สัญจร 2025 พลิกโฉมเมืองด้วย BIG DATA & AI ครั้งที่ 2 เชียงใหม่ ได้นำเสนอนิทรรศการ ในรูปแบบ Interactive ด้าน Big Data และ AI รวมถึงสร้างการรับรู้เกี่ยวกับบทบาทภารกิจของ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) ตลอดจนกิจกรรมการบรรยายและการเสวนาพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญจากเครือข่ายความร่วมมือในพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง แบ่งปันองค์ความรู้และแสวงหาความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น “การใช้ข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยี AI เพื่อสิ่งแวดล้อมเมืองเชียงใหม่” โดย ดร.ศรัณธร ภู่สิงห์ หัวหน้าโครงการ Envi Link, ดร.ปฏิภาณ แสงเดือน นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) และ ดร.ประภัสสร พันธ์สมพงษ์ ที่ปรึกษาการวิเคราะห์ข้อมูลภูมิสารสนเทศโครงการ Envi Link, การเสวนาหัวข้อ “Big Data และวิถีชีวิตคนเมืองเชียงใหม่” โดย รศ. ดร.จักรพงศ์ นาทวิชัย ผู้อำนวยการสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ผศ. ดร.ชาย รังสิยากูล ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ดร.พีรดล สามะศิริ ผู้จัดการโครงการและนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลอาวุโส สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) เป็นต้น

นอกจากนี้ภายในงาน ยังได้จัดกิจกรรม BDI JOURNEY ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน Big Data และ AI ผ่านสื่อการเรียนรู้แบบ Interactive ที่ผู้เข้าร่วมงานจะได้ร่วมสนุกพร้อมรับความรู้จาก BDI โดยผู้สนใจสามารถ เข้าร่วมงาน BDI สัญจร 2025 พลิกโฉมเมืองด้วย BIG DATA & AI ครั้งที่ 2 เชียงใหม่ ได้ฟรีตลอดการจัดงาน ตั้งแต่วันที่ 25 – 27 เมษายน 2568 ระหว่างเวลา 11.00 น. – 19.00 น. ณ ลานกิจกรรม ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ สามารถติดตามอัปเดตข้อมูลและกิจกรรมต่างๆ ของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ได้ทางเว็บไซต์ https://bdi.or.th/ และ Facebook: BDI – Big Data Institute

Swatch ชวนฉลองปรากฏการณ์ Pink Moon เปิดตัวนาฬิกา Bioceramic MoonSwatch MISSION TO THE PINK MOONPHASE

Swatch ชวนฉลองปรากฏการณ์ Pink Moon เปิดตัวนาฬิกา Bioceramic MoonSwatch MISSION TO THE PINK MOONPHASE

Swatch ชวนฉลองปรากฏการณ์ Pink Moon เปิดตัวนาฬิกา Bioceramic MoonSwatch MISSION TO THE PINK MOONPHASE ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ ไมโครมูน ทำให้ดวงจันทร์ที่อยู่บนฟ้าอาจจะดูมีขนาดเล็กและมืดกว่าปกติเล็กน้อย เนื่องจากโคจรอยู่ในระยะไกลจากโลกมากที่สุด เชิญสัมผัส Bioceramic MoonSwatch MISSION TO THE PINK MOONPHASE ความพิเศษนี้ได้ เฉพาะคุณเท่านั้น

ในวันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2568 เวลา 15.00-17.00 น. ณ SWATCH STORE ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่

“แม่เลี้ยงวรรณี ลิทองกุล” เปิดบ้านสวนริมลำพูน ให้กัลยาณมิตรร่วมสระเกล้าดำหัว

“แม่เลี้ยงวรรณี ลิทองกุล”เปิดบ้านสวนริมลำพูน ให้กัลยาณมิตรทั้งฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคมเข้าสระเกล้าดำหัว ขอพรเนื่องในประเพณีสงกรานต์ 2568 เพื่อสืบสาน อนุรักษ์ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ณ บ้านสวนริมลำพูน แม่เลี้ยงวรรณี ลิทองกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีพีเอ็น คอลเล็คชั่นส์ จำกัด เปิดบ้านสวนริมลำพูน ให้กัลยาณมิตรสระเกล้าดำหัว ขอพรสืบสานประเพณีสงกรานต์ สืบทอดกันมาแต่โบราณ สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามไทยแต่โบราณซึ่งทำมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 42  โดยมีข้าราชการฝ่ายปกครอง อาทิ นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา,นายวิวัฒน์ อินทร์ไทยวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน,พล.ต.ท.กฤตธาพล  ยี่สาคร ผบช.ภ.5 ,นายพิชัย เลิศพงค์อดิศร นายก อบจ. เชียงใหม่,นายธานินทร์ สุภาแสน อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง,นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่,นายสิทธิชัย จินดาหลวงอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง

นอกจากนี้ยังมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่,รองผู้ว่าฯลำพูนและเชียงราย ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 อดีตผู้บังคับการตำรวจนครบาล 8 ตลอดจนนายอำเภอในพื้นที่เชียงใหม่และลำพูน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำรวจและพี่น้องประชาชนลำพูน เชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย พะเยา เข้าร่วมงานอย่างเนืองแน่น ด้วยรักและผูกพัน

“แม่เลี้ยงวรรณี ลิทองกุล” กรรมการผู้จัดการบริษัท วีพีเอ็น คอลเล็คชั่นส์ จำกัด มีประสบการณ์ในงานด้านมวลชน และสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการบริหารจัดการขยะมูลฝอย แบบครบวงจร มานานกว่า 20 ปี ปัจจุบัน ดำเนินธุรกิจในด้านการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน โดยการนำมาใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้า นอกจากการทำธุรกิจแล้ว แม่เลี้ยงวรรณียังได้ช่วยเหลือสังคมและสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ส่วนรวมและประเทศชาติอีกหลายโครงการด้วย

กระแสแรงเกินคาด! “วันช่างโฮมโปร” #ซ่อมฟรี คนเชียงใหม่แห่รับบริการแน่นใน 2 วัน เตรียมปักหมุดลุ้นสาขาโฮมโปรครั้งถัดไปเริ่มปลายเดือนเมษานี้

กระแสตอบรับแรงเกินคาด! สำหรับโปรเจกต์“วันช่างโฮมโปร” ที่เปิดให้บริการ #ซ่อมฟรี ณ โฮมโปร สาขาเชียงใหม่ รวมโชค ตลอด 2 วันที่ผ่านมา ท่ามกลางชาวเชียงใหม่ที่หลั่งไหลมารอต่อคิวรับบริการ #ซ่อมฟรีกันอย่างคึกคัก ตั้งแต่สโตร์เปิดตลอดทั้งสองวัน บรรยากาศหน้าสโตร์กลายเป็นลานซ่อมที่คึกคัก ลูกค้านำเครื่องใช้ไฟฟ้ามาใช้บริการมากมาย

กิจกรรมซ่อมฟรีครั้งนี้ เกิดจากแนวคิดผู้บริหารที่เห็น ‘ช่องว่าง’ ของบริการหลังการขาย ในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะกับสินค้าขนาดเล็กขนาดกลาง ที่ลูกค้าส่วนใหญ่มักไม่รู้ว่าต้องนำไปซ่อมที่ไหน หรือไม่มั่นใจในคุณภาพของช่าง

จุดนี้เองที่ทำให้โฮมโปร ปิ๊งไอเดียสร้าง Customer Lifetime Value โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า พร้อมปักธงแนวคิด “หากสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเสีย คิดถึงช่างโฮมโปร มือโปรประจำบ้านคุณเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าทุกคนและทำให้เข้าถึงบริการซ่อมแซมหลังการขายที่ง่าย อุ่นใจ และเป็นมิตรโดยเปิดให้บริการรวม 2 รูปแบบ คือ

• On-Site Service: บริการซ่อมถึงบ้านส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดกลางขนาดใหญ่ อาทิ เครื่องปรับอากาศ, เครื่องซักผ้า, ปั๊มน้ำ, ตู้เย็น, ทีวี รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่ขนย้ายไม่สะดวก

• Carry-In Service: บริการซ่อมสินค้าที่ลูกค้านำมาที่สาขา โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก อาทิ เครื่องมือช่าง, เครื่องมือทำสวน, พัดลม, เตารีด, เครื่องปั่นน้ำผลไม้, หม้อหุงข้าว ซึ่งบริการนี้ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ และเปลี่ยนให้พื้นที่หน้าสโตร์กลายเป็นลานซ่อมขนาดย่อมที่คึกคักตลอดทั้งวัน

“ลูกค้าหลายคนบอกว่า รู้สึกดีใจที่มีบริการซ่อมฟรีใกล้บ้าน และที่สำคัญยังเป็นช่างโฮมโปร ที่ได้มาตรฐาน เชื่อถือได้ ก็อุ่นใจ บรรยากาศ 2 วันนี้ ทำให้เห็นพี่น้องคนเชียงใหม่ พ่อบ้านแม่บ้าน วัยทำงาน หรือผู้สูงวัย

นำเครื่องใช้ไฟฟ้าเดินทางมาใช้บริการและกลับออกไปพร้อมรอยยิ้มตลอดทั้งวัน ซึ่งพอเราได้เห็นรอยยิ้ม
ได้พูดคุยกับลูกค้า บางทีจากเหนื่อยๆ ก็รู้สึกเพลินไปทั้งวัน”

“วันช่างโฮมโปร” เป็น 1 ในกิจกรรมที่มีส่วนสำคัญสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (Better Living) ที่โฮมโปรตั้งใจทำอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2568 นี้ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าชีวิตที่ดี ง่าย และสะดวกสบาย มีได้ไม่ใช่แค่ตอนซื้อสินค้า แต่รวมถึงตอนเข้ารับบริการหลังการขาย ซึ่งเป็นหนึ่งในช่วงชีวิตของการใช้งานสินค้าและบริการที่โฮมโปรเราอยากดูแลลูกค้าด้วย โดยตลอดทั้ง 2 วันนี้ มีลูกค้านำเครื่องใช้ไฟฟ้ามาเข้ารับบริการมากมายซึ่งสินค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าพัดลมและกาน้ำร้อน

ปรากฏการณ์ #ซ่อมฟรี ในครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ดีกว่าที่ลูกค้าโฮมโปรจะได้รับ เพราะโปรเจกต์ “วันช่างโฮมโปร” เตรียมขยายให้บริการโฮมโปรสาขาอื่นๆ ต่อเนื่อง ปลายเดือนเมษายนนี้ รับรองว่างานนี้ไม่ใช่แค่ซ่อมฟรี แต่โฮมโปรตั้งใจดูแลลูกค้าทุกคนอย่างดีในระยะยาว

ติดตามพิกัด “วันช่างโฮมโปร” พิกัดถัดไปได้ที่ www.facebook.com/homeprothailand

“พรรคก้าวอิสระ” ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ครั้งที่ 1

“พรรคก้าวอิสระ” ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ครั้งที่ 1

วันที่ 20 เมษายน 2568  พรรคก้าวอิสระ INDEPENDENT PARTY  จัดประชุมระเบียบวาระการประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2568 พรรคก้าวอิสระ ครั้งที่  1/2568 และ การประชุมเลือกตั้งกรรมการสาขาพรรคก้าวอิสระ จังหวัดเชียงใหม่แทนตำแหน่งที่ว่าง ณ โรงแรมดิเอ็มเพรส

ว่าด้วย ระเบียบวาระที่ 1 เรื่องประธานแจ้งที่ประชุมทราบ ระเบียบวาระที่ 2  เรื่องรับรองรายงานการประชุมรายงานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 พรรคก้าวอิสระ ครั้งที่ 2/2567  ระเบียบวาระที่ 3 เรื่องเพื่อพิจารณา ,3.1 แถลงผลการดำเนินงานของพรรคก้าวอิสระ ปี2562 , 3.2 อนุมัติงบการเงิน พรรคก้าวอิสระ , 3.3 การพิจารณาแต่งตั้งผู้สอบบัญชีรับอนุญาต , 3.4 รายงานสถานภาพสมาชิกและการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการทะเบียน สมาชิกพรรค , 3.5  การเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวอิสระ และระเบียบวาระที่ 4 เรื่องอื่น ๆ

ทั้งนี้ ที่ประชุมเสนอแต่งตั้ง มาดามหยก นางสาวกชพร เวโรจน์ ให้ดำรงค์ตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวอิสระต่อไป พร้อมยังคงสนับสนุน อาจารย์ด้วง นายการณ์วิชญ์ วงษ์ทอง ชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ โดยสำหรับผู้สมัครชิงนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ มี 5 คน คือ เบอร์ 1 นางสาวปนันรัตน์ วิริยะกุลศานต์ (หยก ) พรรคเพื่อเชียงใหม่ ,เบอร์ 2 นายธีรวุฒิ  แก้วฟอง (เหมา ) พรรคประชาชน  ,เบอร์ 3 นายอัศนี บูรณุปกรณ์  (หน่อย ) พรรคเพื่อไทย , เบอร์ 4 นายการณ์วิชญ์  วงษ์ทอง ( อาจารย์ด้วง ) พรรคก้าวอิสระ สุดท้าย เบอร์ 5 ว่าที่ ร.อ.จอร์นนพดล วศินสุทร ผู้สมัครอิสระ และจะมีการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2568 นี้

ชาวเชียงใหม่ เปิดประวัติศาสตร์ระดมช่างฟ้อนกว่า 10,000 คน ร่วมบันทึกสถิติโลก Guinness World Records สำเร็จทำลายสถิติ 7,218 คน เฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 729 ปีแห่งการสถาปนาเมืองเชียงใหม่

ชาวเชียงใหม่ เปิดประวัติศาสตร์ระดมช่างฟ้อนกว่า 10,000 คน ร่วมบันทึกสถิติโลก Guinness World Records สำเร็จทำลายสถิติ 7,218 คน เฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 729 ปีแห่งการสถาปนาเมืองเชียงใหม่

เย็นวันที่19 เม.ย. 68ที่ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายวีรพงษ์ ฤทธิ์รอด และนายศิวะกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเป็นสักขีพยาน ในการสร้างปรากฏการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับสมาคมสตรีนครเชียงใหม่ และองค์กรเครือข่ายทั่วทั้งจังหวัด นำช่างฟ้อนกว่า 10,000 คน ร่วมแสดงการฟ้อนเล็บอัตลักษณ์ตามแบบคุ้มพระราชชายาเจ้าดารารัศมีอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยใช้พื้นที่รอบตัวเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่ที่บริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ เชื่อมต่อไปยังถนนต่างๆ รอบคูเมืองด้านในเพื่อร่วมสร้างประวัติศาสตร์ในการบันทึกสถิติโลกของ Guinness World Records

โดยผู้ร่วมแสดงจะต้องทำการแสดงตามกฎและหลักเกณฑ์ที่ทาง Guinness World Records กำหนด คือ จะต้องทำการแสดงภายในเวลาที่กำหนดและต้องทำการแสดงตามท่าฟ้อนที่ได้อนุมัติไว้ล่วงหน้าแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ สถิติล่าสุดที่ทาง Guinness World Records ได้ทำการบันทึกไว้คือเป็นการแสดงเต้นพร้อมกันเป็นจำนวน 5,255 คน

ภายหลังเสร็จสิ้นการแสดงฟ้องเล็บอัตลักษณ์ตามแบบคุ้มพระราชชายาเจ้าดารารัศมี คณะกรรมการ Guinness World Records ได้ทำการรวบรวมผลคะแนนการตัดสินเป็นระยะเวลากว่า 30 นาที ก่อนออกมาประกาศผลว่า “จังหวัดเชียงใหม่ ได้ถูกบันทึกสถิติโลก Guinness World Records The Leargest Thai Dance จำนวน 7,218 คน ” ทุบสถิติเดิมที่เคยบันทึก 5,255 คน พร้อมมอบใบรับรองให้กับจังหวัดเชียงใหม่เป็นการจารึกสถิติอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นการประกาศศักดิ์ศรีวัฒนธรรมล้านนา ให้โลกได้ประจักษ์ผ่านพลังความร่วมมือของคนทั้งเมือง พร้อมส่งต่อความงดงามนี้สู่สายตานานาชาติ